สพฐ. ONE TEAM ลุยโรงเรียนห่างไกล ต้นแบบหลักสูตรสถานศึกษาเน้น Active Learning สอดคล้องบริบท ณ โรงเรียนล่องแพวิทยา

วันที่ 30 พฤษภาคม 2565 ณ โรงเรียนล่องแพวิทยา จ.แม่ฮ่องสอน นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มอบหมายให้นางเกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รองเลขาธิการ กพฐ.) พร้อมด้วยคณะทำงาน ONE TEAM ประกอบด้วย ผอ.สวก., สทศ., สบว., สบน., ศนฐ., และทีมวิชาการของรองเลขาธิการ กพฐ. ร่วมพูดคุยหารือกับ ผอ.สพป.แม่ฮ่องสอน เขต 2 และผู้บริหารโรงเรียนล่องแพวิทยา ถึงการเติมเต็ม เสริมหนุน และถอดบทเรียน การจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ สามารถเป็นแบบอย่างที่ดีในการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ได้อย่างรอบด้านในทุกมิติ

โดยนางเกศทิพย์ กล่าวว่า จากการพูดคุยกันทำให้ทราบว่า โรงเรียนล่องแพวิทยา สังกัด สพป.แม่ฮ่องสอน เขต 2 โรงเรียนในโครงการพระราชดำริ ฯ (กพด.) จัดการศึกษาให้กับนักเรียนตั้งแต่ระดับการศึกษาปฐมวัย จนถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ในพื้นที่ภูเขาสูงในถิ่นทุรกันดาร ให้บริการทางการศึกษาให้กับนักเรียนชาวไทยหลากหลายชาติพันธุ์ในเขตรอยต่อ 3 จังหวัด ได้แก่ อําเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ อําเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก และอําเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งผู้ปกครองและชุมชนส่วนใหญ่ไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ นอกจากผู้นําชุมชนที่สามารถพูดคุยสื่อสารได้ จึงเป็นชุมชนที่มีความหลากหลายทางด้านภาษา สําหรับนักเรียนที่เริ่มเข้าสู่ระบบการศึกษาไม่ว่าจะเป็นระดับชั้นอนุบาลหรือชั้นประถมศึกษา ต้องใช้ระยะเวลาในการสอนให้เด็กเข้าใจภาษาไทยจนสามารถสื่อสารได้ก่อน แล้วจึงเริ่มฝึกการอ่านและการเขียนเป็นลําดับถัดไป จึงทําให้เด็กมีพัฒนาการทางภาษาไทยช้ากว่านักเรียนที่เรียนในพื้นราบที่ผ่านการศึกษาในระบบโรงเรียน ซึ่งมีส่วนน้อยมาก ที่เหลือส่วนใหญ่ใช้ภาษาถิ่นเป็นหลัก โดยปีการศึกษา 2565 นี้ มีนักเรียน 757 คน ในจํานวนนี้เป็นนักเรียนประจําพักนอน จํานวน 506 คน

สำหรับผู้บริหารโรงเรียนล่องแพวิทยา มีการบริหารจัดการเชิงระบบ และมีความเป็นผู้นำทางวิชาการสูง มีการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาและการบริหารจัดการหลักสูตรอย่างมีคุณภาพ ภายใต้ภาวะปกติ และช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มีการจัดรายวิชาเพิ่มเติมและจัดโครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษาที่ยืดหยุ่น สอดคล้องกับวิถีชีวิตจริง จัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่ส่งเสริมด้านอาชีพ จำนวน 5 กลุ่มอาชีพ เพื่อเตรียมความพร้อมทางด้านอาชีพให้กับนักเรียนหลังจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกอบด้วยกลุ่มอาชีพเกษตรกรรม กลุ่มอาชีพคหกรรม กลุ่มอาชีพอุตสาหกรรม กลุ่มอาชีพพาณิชยกรรม และกลุ่มอาชีพบริการ รวมทั้งสร้างเครือข่ายเพื่อเพิ่มความเข้มแข็งทางโอกาสให้กับนักเรียนและครู

ทางด้านครูผู้สอนโรงเรียนล่องแพวิทยามีสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้ จึงส่งผลต่อความสามารถและคุณลักษณะของนักเรียน โดยมีการออกแบบการจัดการเรียนรู้ และทำแผนการจัดการเรียนรู้ที่มีการบูรณาการการเรียนรู้กับชีวิตจริง บนความแตกต่างของผู้เรียน มีการจัดการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนปฏิบัติจริง ผ่านกิจกรรมบูรณาการ ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นมาช่วยในการจัดการเรียนรู้ ด้วยการพัฒนาชุดการสอน มีการพัฒนาการอ่านการเขียนของนักเรียนชนเผ่าด้วย “กิจกรรมทวิภาษา” ส่งเสริมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนอย่างต่อเนื่องและไม่หลุดจากระบบการศึกษากับ “กิจกรรมครูหลังม้า” รวมทั้งมีการประเมินเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ และใช้การประเมินผู้เรียนอย่างหลากหลายและรอบด้าน โดยพิจารณาจากผลงาน ทักษะกระบวนการ พัฒนาการการเรียนรู้ และแฟ้มสะสมงานของนักเรียน

ในส่วนของนักเรียนโรงเรียนล่องแพวิทยาเองก็มีความรู้ตามหลักสูตร ด้วยผลจากการจัดการเรียนรู้ในห้องเรียนและกิจกรรมเสริมหลักสูตร ทำให้นักเรียนมีทักษะการเรียนรู้ ทักษะอาชีพ และทักษะชีวิต ทั้งการประกอบอาชีพจากร้านกาแฟในโรงเรียน ทำให้มีรายได้ระหว่างเรียน อีกทั้งนักเรียนมีความสามารถในการเล่นดนตรีจากการจัดวงดนตรีสากลสามชนเผ่า รวมถึงมีคุณลักษณะและค่านิยมอันพึงประสงค์ มีกิริยามารยาทที่ดี ยิ้มแย้ม ไหว้ ทักทาย ร่าเริงแจ่มใส และสามารถอยู่ร่วมกับคนรอบข้างได้อย่างมีความสุข รวมทั้งได้คุยกับผู้ปกครองนักเรียนมีความเชื่อมั่นในคุณภาพและซาบซึ้งใจในการดูแลเอาใจใส่ของโรงเรียน ทั้งผู้ปกครองและนักเรียนต่างยึดมั่นในการทำความดีตามปณิธานที่ได้รับพระบารมีจากพระองค์ท่าน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ

“จากการพูดคุยและถอดบทเรียนจากการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนล่องแพวิทยาในวันนี้ ทำให้ทราบว่าถึงแม้จะเป็นโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลบนภูเขาสูง มีอุปสรรคทางด้านภาษาที่ทําให้เด็กมีพัฒนาการด้านภาษาไทยช้ากว่านักเรียนที่เรียนในพื้นที่ราบ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผู้บริหารและคณะครูเกิดความย่อท้อ โดยได้มีการปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการเรียนการสอน การทำสื่อต่างๆ ที่มีความยืดหยุ่น สอดคล้องกับวิถีชีวิตจริง เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กอย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมทั้งจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่ส่งเสริมด้านอาชีพ สร้างงานสร้างรายได้ในระหว่างที่เรียน ถือได้ว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของการจัดการเรียนการสอนแบบโรงเรียน Stand-alone ในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งคณะทำงาน ONE TEAM ของเราก็ได้ให้ข้อเสนอแนะ เติมเต็ม เสริมหนุนในสิ่งที่โรงเรียนยังขาดอยู่ พร้อมกับเตรียมนำข้อมูลที่ได้จากการถอดบทเรียนในครั้งนี้ นำไปเผยแพร่เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับโรงเรียนอื่นๆ ต่อไป ชี้ให้เห็นว่า การนำนโยบายลงสู่การปฏิบัติได้จริง รวมทั้งสามารถเติมเต็มความเป็นอัตลักษณ์ของตนเองได้อย่างลงตัว เป็นที่ยอมรับของชุมชนได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะอยู่ที่ห่างไกลหรือทุรกันดารอย่างไร การศึกษาไปได้ทุกที่อย่างเสมอกัน” รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าว