ศธ. ขานรับ ครม. เคาะเพิ่มเงินอาหารกลางวันเด็ก กว่า 3.5 พันล้าน

วันที่ 8 พฤศจิกายน 2565 นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เป็นประธานในการแถลงข่าว การปรับเพิ่มค่าอาหารกลางวันในอัตราตามขนาดของโรงเรียน โดยมี คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นางสาวอรพินทร์ เพชรทัต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายอรรถพล สังขวาสี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการ กพฐ. พร้อมด้วยผู้บริหารของกระทรวงศึกษาธิการ เข้าร่วมในการแถลงข่าว ณ บริเวณด้านหน้าอาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ

นางสาวตรีนุช เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาอนุมัติปรับเพิ่มอัตราค่าอาหารกลางวันของนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นเด็กเล็กถึงประถมศึกษาปีที่ 6 (ป.6) ของสถานศึกษาในทุกสังกัด ซึ่งมีจำนวน 51,637 โรงเรียน จากปัจจุบันที่ได้รับในอัตรา 21 บาทต่อคนต่อวัน โดยปรับเพิ่มขึ้นในอัตราตามขนาดของโรงเรียน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายและวัตถุดิบในการประกอบอาหารมีราคาสูงขึ้น โดยการจัดอาหารให้กับนักเรียนในแต่ละมื้อต้องคำนึงถึงคุณค่าตามหลักโภชนาการ 5 หมู่ที่นักเรียนควรได้รับ และในปริมาณที่เหมาะสม

นางสาวตรีนุช กล่าวว่า การปรับเพิ่มค่าอาหารกลางวันให้แก่นักเรียนระดับชั้นเด็กเล็กถึงชั้น ป.6 ในอัตราตามขนาดของโรงเรียนครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ โรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียน 1-40 คน มีจำนวน 16,691 แห่ง จำนวนนักเรียน 403,768 คน จะได้รับเงินค่าอาหารกลางวัน 36 บาทต่อคนต่อวัน เพิ่มขึ้น 15 บาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 71.43% กลุ่มที่สอง โรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียน 41-100 คน จำนวน 17,437 แห่ง จำนวนนักเรียน 1,126,246 คน ได้รับ 27 บาทต่อคนต่อวัน คิดเป็นเพิ่มขึ้น 28.57% กลุ่มที่สามโรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียน 101-120 คน มีจำนวน 1,970 แห่ง ได้รับ 24 บาทต่อคนต่อวัน เพิ่มขึ้น 14.29% และกลุ่มสุดท้าย โรงเรียนที่มีนักเรียนตั้งแต่ 121 คนขึ้นไป มีจำนวน 15,539 แห่ง จำนวนนักเรียน 4,147,557 คน ได้รับค่าอาหารกลางวัน 22 บาทต่อคนต่อวัน เพิ่มขึ้น 4.76%

“การปรับเพิ่มค่าอาหารกลางวันเป็นอัตราตามขนาดของโรงเรียน นอกจากจะส่งผลให้นักเรียนทุกคนได้รับอาหารกลางวันที่มีคุณภาพ ถูกต้องตามหลักโภชนาการแล้ว ยังเป็นการแก้ปัญหาให้แก่โรงเรียนขนาดเล็กโดยเฉพาะได้เป็นอย่างดี เนื่องจากปัจจุบันมีโรงเรียนขนาดเล็กทุกสังกัดรวมจำนวน 36,098 โรงเรียน คิดเป็นร้อยละ 63.90 ของโรงเรียนทั้งหมดที่รับเงินอุดหนุนค่าอาหารกลางวันนักเรียน ซึ่งมีอยู่จำนวน 51,637 โรงเรียน ขณะที่โรงเรียนขนาดเล็กต้องมีค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยในการบริหารจัดการประกอบอาหารกลางวัน เช่น ค่าจ้างแม่ครัว ค่าอุปกรณ์ ฯลฯ ที่เป็นต้นทุนคงที่ สูงมากกว่าโรงเรียนขนาดใหญ่ ซึ่งการปรับเพิ่มค่าอาหารกลางวันในอัตราตามขนาดโรงเรียนครั้งนี้ จะช่วยให้โรงเรียนขนาดเล็กสามารถบริหารจัดการและจัดหาอาหารกลางวันให้กับน้องๆ ได้เป็นอย่างดีและเหมาะสม รวมถึงครบถ้วนตามหลักโภชนาการ 5 หมู่ ซึ่งจะส่งผลให้เด็กๆ สามารถสร้างการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดีมีประสิทธิภาพ” นางสาวตรีนุช กล่าว

รมว.ศธ.กล่าวต่อไปว่า สำหรับการปรับเพิ่มค่าอาหารกลางวันเป็นอัตราตามขนาดของโรงเรียนดังกล่าว จะเริ่มใช้ในการจัดทำแผนงบประมาณปี 2567 โดยจะใช้งบประมาณทั้งสิ้น 28,365,864,000 บาท เพิ่มขึ้นจากเดิมที่กำหนดในอัตรา 21 บาทต่อคนต่อวัน เป็นเงิน 3,533,280,000 บาท ทั้งนี้ ครม.ยังมีมติเพิ่มเติมว่า สำหรับปีงบประมาณ 2566 ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเจียดจ่ายงบประมาณที่มีมาเป็นค่าอาหารกลางวันตามอัตราใหม่ หากไม่เพียงพอให้ขอรับการสนับสนุนตามระเบียบสำนักงบประมาณ ทาง ศธ. จะหารือร่วมกับสำนักงบประมาณ และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางให้นักเรียนได้รับค่าอาหารกลางวันตามอัตราใหม่ โดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้ โรงเรียนที่ได้รับเพิ่มอัตราค่าอาหารกลางวัน จำนวน 51,637 โรงเรียน ประกอบด้วย โรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) โรงเรียนสังกัดกระทรวงมหาดไทย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม สังกัดกรุงเทพมหานคร และสังกัดเมืองพัทยา